ในยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกคน เราต่างมี Smart Devices ต่าง ๆ ที่ใช้กันในบ้าน และคอนโด หลายคนคงเคยได้คำว่า IoT หรือ Internet of Things กันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่าจริง ๆ แล้ว IoT คืออะไรกันแน่ มีประโยชน์อะไรบ้าง แล้วใกล้ตัวเราขนาดไหน วันนี้จะพาทุกคนมาเปิดโลกของ IoT เทคโนโลยีสุดเจ๋งที่จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น และพามาไขข้อสงสัยของหลาย ๆ คนว่า IoT มีข้อดี และข้อเสียอย่างไรบ้าง ถ้าพร้อมแล้ว ตามมาหาคำตอบและรู้จัก IoT ไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้กันเลย!
IoT คืออะไร?
Internet of Things (IoT) หรืออินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง คือการที่อุปกรณ์ต่าง ๆ ถูกเชื่อมด้วยอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลาง โดยเราสามารถสั่งการ หรือใช้งานอุปกรณ์นั้น ๆ ได้ผ่านอินเทอร์เน็ต นี่จึงเป็นสาเหตุที่ IoT ได้ชื่อว่าเป็นอินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งนั่นเอง ถ้าถามว่า IoT นั้นใกล้ตัวเราขนาดไหน อยากให้ทุกคนลองนึกถึงการเปิดปิดโทรทัศน์โดยใช้รีโมท หรือแม้แต่การดูอาหารที่อยู่ในตู้เย็นผ่านหน้าจอที่ประตูตู้เย็นที่เราเห็นกันบ่อยในโฆษณาต่างก็เป็นเทคโนโลยี IoT
แม้บางคนอาจจะเพิ่งเคยได้ยินคำว่า IoT กันบ่อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่จริง ๆ IoT เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ 1999 โดยมหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology: MIT ได้ทำโปรเจกต์หนึ่งที่เกี่ยวกับ RFID Sensor ที่ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถส่งข้อมูลถึงกันได้นั่นเอง
IoT มีกี่ประเภท?
หลายคนอาจจะสงสัยกันว่า Smart Devices ที่รู้จักทั้งหลาย ต่างก็นับว่าเป็น IoT ทั้งหมดเลยหรือไม่ แล้ว IoT มีทั้งหมดกี่ประเภท ขอบอกเลยว่า IoT มีทั้งหมด 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. Consumer Internet of Things
Consumer Internet of Things หรืออุปกรณ์ IoT ที่เรานิยมใช้งานกันทั่วไป มักเป็นอุปกรณ์ที่เราใช้เพื่อสร้างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน เช่น Smart Watch, Smartphone, Smart Home ต่าง ๆ อย่างโทรทัศน์ แอร์ ตู้เย็น หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านต่าง ๆ จะสังเกตเห็นได้ว่า IoT ประเภทนี้มักเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทั่วไปภายในที่อยู่อาศัย อย่างบ้าน หรือคอนโด โดยมักจะมีอุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ และมีอายุใช้งานที่ค่อนข้างสั้นกว่า IoT ประเภทอื่นๆ
2. Commercial Internet of Things
นอกจากอุปกรณ์ในบ้านที่เป็น IoT แล้ว ยังมี IoT อีกประเภทที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน อย่าง Commercial Internet of Things หรืออุปกรณ์ IoT เชิงพาณิชย์ เช่น ไฟจราจร ป้ายโฆษณา กล้องตรวจจับความเร็วบนท้องถนน ไม่เพียงเท่านี้แต่ตามร้านอาหารหรือร้านสะดวกซื้อก็มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อความสะดวกสบายของลูกค้า เช่น การจ่ายค่าสินค้าต่างๆ ผ่าน Smart Card อีกทั้งการแพทย์ปัจจุบันก็ใช้ IoT เพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยเช่นกัน อย่างการเก็บและวิเคราห์ประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ของผู้ป่วย
3. Industrial Internet of Things
นอกจาก IoT 2ประเภทที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว ยังมีอีกประเภทที่เราอาจจะไม่ได้พบเจอได้บ่อยนัก อย่าง Industrial Internet of Things หรือเรียกกันอีกชื่อว่า อุปกรณ์ IoT ที่ใช้ในอุตสาหกรรม IoT ประเภทนี้ถูกพัฒนาเพื่อช่วยในการควบคุมเครื่องจักรในโรงงาน เพิ่มความแม่นยำในการผลิตให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยทุ่นแรงมนุษย์ด้วย เช่น สายพาน เครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ ระบบการจัดการต่าง ๆ ในขั้นตอนการผลิตในโรงงาน
5 เหตุผลที่ควรมี IoT ในบ้าน และคอนโด
1. ควบคุมทุกสิ่งในบ้านได้ง่ายดาย
การมี IoT ในบ้านช่วยให้สามารถควบคุมทุกสิ่งในบ้านได้ในอย่างง่ายดายจากระยะไกล อีกทั้ง IoT ยังสามารถทำนายรูปแบบการใช้ชีวิตของเราเพื่อปรับให้ทุกอย่างเข้าที่ตามรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับใครที่อยากจะตั้งค่าระบบด้วยตัวเองก็สามารถปรับแต่งระบบให้เหมาะสมกับความต้องการได้
2. เพิ่มความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน
เมื่อเราสามารถควบคุมทุกสิ่งในบ้านได้เพียงปลายนิ้ว แน่นอนว่าชีวิตประจำวันของเราจะสะดวกสบายมากขึ้น และที่สำคัญคือการควบคุมเครื่องใช้ภายในบ้านได้จากระยะไกลนั้นยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดความซับซ้อนของงานในแต่ละวันอีกด้วย เช่น ไฟกลางคืนใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อปรับแสงและสร้างบรรยากาศที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพ
3. รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.
IoT ในสมาร์ทโฮมมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงที่สามารถช่วยป้องกันบ้านหรือที่พักอาศัยให้ปลอดภัยได้ตลอดเวลา โดยที่สามารถติดตามได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวช่วยป้องกันไม่ให้แอบดูหน้าประตูบ้านหรือบุกรุกเข้ามาในบ้าน กล้องวงจรปิดที่สามารถดูสถานการณ์นอกหรือในบ้านได้โดยใช้เพียงโทรศัพท์มือถือ
4. ประหยัดค่าใช้จ่าย
อุปกรณ์ IoT ช่วยให้สามารถประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น แสงไฟสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติโดยใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และจะปิดในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานในขณะนั้น ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้ช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
5. เพิ่มจุดขายให้บ้าน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าสมาร์ทโฮมนั้นดึงดูดความสนใจของเรามากกว่าบ้านแบบธรรมดาทั่วไป เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาขายบ้านต่อ การมีอุปกรณ์ IoTถายในบ้านจะเป็นจุดขายที่ทำให้ผู้ซื้อสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นสมาร์ทโฮมเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีคุณค่าในระยะยาว ไม่ว่าในขณะที่อาศัยอยู่หรือในอนาคต
แนะนำ IoT 8 ประเภท ที่ควรมีติดบ้าน!
1. หลอดไฟอัจฉริยะ
หลอดไฟอัจฉริยะนับเป็นอุปกรณ์ IoT ที่มักนิยมใช้กันทั้งในบ้านและคอนโด การใช้งานหลัก ๆ ที่มักจะนิยมใช้กันก็คือ การควบคุมหลอดไฟในระยะไกล ตั้งเวลา เปิด-ปิด ไฟแบบอัตโนมัติให้เปิดไฟเมื่อมืด ปิดไฟเมื่อสว่าง ช่วยให้เราสามารถประหยัดพลังงานได้และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
2. ตู้เย็นอัจฉริยะ
ถ้าถามว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหนที่จำเป็นต้องมีในบ้าน แน่นอนว่าตู้เย็นเป็นคำตอบแรกของใครหลาย ๆ คน แต่รู้ไหมว่าปัจจุบัน ตู้เย็นไม่ได้ทำได้แค่เก็บอาหารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานมากขึ้น เช่น การค้นหาข้อมูล สูตรอาหาร ฟังเพลง ตรวจสอบสภาพอากาศ ประตูด้านซ้ายเป็นที่กดน้ำแข็งและน้ำเย็น อีกทั้งยังสามารถมองเห็นอาหารข้างในตู้เย็นผ่านประตูด้านข้างได้อีกด้วย
3. กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ
กล้องวงจรปิดเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ควรมีติดบ้านไว้สำหรับสอดส่องความปลอดภัยทั้งนอกและในบ้าน ซึ่งปัจจุบันแค่เพียงเรามีอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือก็สามารถดูภาพจากกล้องแบบเรียลไทม์ได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือ และแจ้งเตือนในกรณีที่จับได้ว่ามีการเคลื่อนไหวได้
4. เครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ
ใครว่าดูดฝุ่นเป็นเรื่องยาก สมัยนี้ง่ายกว่าที่คิดเพราะมีตัวช่วยอย่าง “เครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ” ที่สามารถจดจำเส้นทางและสร้างแผนที่เพื่อให้รู้เส้นทางในการทำความสะอาด และรู้ลักษณะของห้องทำให้ไม่วิ่งไปชนผนังห้องอีก เมื่อถึงเวลาแบตใกล้หมดก็สามารถวิ่งกลับไปชาร์ตเองได้ และยังสามารถสั่งการผ่านทางโทรศัพท์มือถือได้อีกด้วย
5. ประตูอัตโนมัติ
รู้หรือไม่ว่าสมัยนี้ เราไม่จำเป็นต้องไขกุญแจเพื่อเปิดประตูเองแล้วนะ! สมัยนี้เราสามารถป้อนคำสั่ง “จดจำใบหน้า” ของเจ้าบ้านและสมาชิกที่อาศัยอยู่ในบ้านไว้ เพื่อให้ประตูสามารถเปิดปิดอัตโนมัติด้วยการสแกนใบหน้า เรียกได้ว่าทั้งสะดวกสบายมากขึ้น และปลอดภัยขึ้นอีกระดับเลยทีเดียว
6. ปลั๊กไฟอัจฉริยะ
เคยไหมออกจากบ้านแล้วลืมว่าเราเปิดพัดลม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ไว้จนต้องวนรถกลับมาเช็คความเรียบร้อยในบ้านอีกครั้ง ปัญหานี้จะหมดไปด้วย ปลั๊กไฟอัจฉริยะที่เราสามารถควบคุมกระแสไฟผ่านแอปพลิเคชั่น ตั้งเวลาเปิด-ปิดการจ่ายไฟ และยังช่วยคำนวณปริมาณกระแสไฟที่ใช้ได้อีกด้วย
7. ลำโพงอัจฉริยะ
ไหนใครว่าลำโพงทำได้แค่ฟังเพลง สมัยนี้ลำโพงสามารถช่วยเราเปิดเพลง เปิดทีวี ปิดไฟ เปิดพัดลม หรือปิดแอร์ก็ได้ เพียงแค่อุปกรณ์เหล่านั้นเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เรียกได้ว่ามีลำโพงตัวเดียวเหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวกันเลยทีเดียว
8. เครื่องตรวจสุขภาพต้นไม้อัจฉริยะ
ในช่วงโควิด 19 แบบนี้ หลายคนผันตัวเป็นสายปลูกต้นไม้ ปลูกผักสวนครัว การปลูกนี่ก็ใช่ว่าจะง่ายสำหรับมือใหม่อย่างเรา ถ้าคุณเคยสงสัยว่าเมื่อไหร่จะต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย เครื่องตรวจสุขภาพต้นไม้อัจฉริยะนี้จะช่วยให้เราตรวจเช็คสุขภาพของต้นไม้ที่เราปลูกได้ โดยนำเครื่องมือนี้ไปปักไว้ที่ดินบริเวณโคนต้น ก็จะลิงก์ข้อมูลเข้าแอปในโทรศัพท์มือถือและบอกค่าสถานะต่าง ๆ ทั้งเวลาที่ควรรดน้ำ ใส่ปุ๋ย ช่วยให้ชีวิตสายปลูกอย่างเราง่ายขึ้นเยอะเลยทีเดียว
เปิดหมดเปลือก ข้อดี ข้อเสียของ อุปกรณ์ IoT
ข้อดีของ อุปกรณ์ IoT
1. เพิ่มความสะดวกสบาย
อย่างที่ทราบกันว่าปัจจุบันมีการนำ IoT มาประยุกต์ใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่าง ตู้เย็นอัจฉริยะ ประตูอัจฉริยะ กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ซึ่งช่วยให้เราสามารถสั่งการ หรือควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้ได้เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
2.เพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน
ในด้านอุตสาหกรรมเห็นได้ชัดว่าการใช้อุปกรณ์ IoTนั้นช่วยให้ขั้นตอนการผลิตเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยทุ่นแรงงานคนอีกด้วย
3. ลดค่าใช้จ่าย
อุปกรณ์ IoT ช่วยลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ลงได้ เช่น หลอดไฟอัจฉริยะช่วยปิด และเปิดไฟอัตโนมัติโดยที่เราสามารถตั้งเวลาไว้ได้ หรือแผงเกษตรกรรมที่มีการใช้ IoT ให้รดน้ำตามเวลาและระดับความชื้นที่กำหนด เป็นต้น
4. เพิ่มประสิทธิภาพด้านการสื่อสาร
ช่วยให้การสื่อสารรวดเร็วและสะดวกมากขึ้น เราสามารถติดต่อกับคนที่อยู่คนละประเทศได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือห่างกันแค่ไหนก็จะสามารถติดต่อสื่อสารกันได้
5. ประหยัดเวลา
ในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน อุปกรณ์ IoT ช่วยให้เราประหยัดเวลาได้มากขึ้น เช่น สามารถดูอาหารในตู้เน็นได้โดยที่ไม่ต้องเปิดตู้เย็น สั่งปิดไฟได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือโดยที่ไม่ต้องลุกไปปิดไฟ
ข้อเสียของ อุปกรณ์ IoT
1. ต้องอาศัยอินเตอร์เน็ตในการสั่งการ หรือเชื่อมต่อ
เนื่องจากอุปกรณ์ IoT อาศัยอินเทอร์เน็ตในการสั่งการ หรือควบคุม หากอยู่ในพื้นที่อับสัญญาณอาจไม่สามารถใช้อุปกรณ์ได้
2. แทนที่แรงงานคน
ในภาคอุตสาหกรรมมีการใช้อุปกรณ์ IoTเพื่อช่วยในการผลิต ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้อาจเข้ามาแทนที่แรงงานคนในอนาคต
3. มีราคาสูง
เนื่องจาก IoT เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยจึงทำให้ค่อนข้างมีราคาที่สูงเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป
4. ความปลอดภัยของข้อมูลต่ำ
เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างถูกจัดเก็บเอาไว้บนระบบ Cloud จึงเสี่ยงต่อการถูก hack หากใช้รหัสผ่านที่เดาง่าย และเนื่องจากอุปกรณ์ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายเดียวกัน ทำให้ต้องการบำรุงและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลกับซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์อยู่เสมอ
5. เกิดการผิดพลาดได้
อุปกรณ์ IoT อาจเกิดปัญหาประมวลผลผิดพลาดจากการเขียนโปรแกรมที่ไม่รัดกุม ซึ่งจะ ส่งผลทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ด้วยประมวลผลผิดพลาดไปตาม
และนี่ก็เป็นทั้งหมดของความรู้ในเรื่อง IoT ที่นำมาฝากทุกคนกันในวันนี้ เห็นไหมว่า IoT ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวพวกเราอีกต่อไป และการมี IoT ติดไว้ในบ้านก็ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้นอีกด้วย!!